ปลายฝนต้นหนาวบ้านห้วยแห้ง

modd-mocking 21-24 ต.ค. 2559 มาคนเดียวพร้อมกับนัดเพื่อนเก่าหนึ่งคนที่เชียงใหม่ เพื่อมารวมกับชาวค่ายอีกนับสิบ กับการมาเป็นครูอาสาที่บ้านห้วยแห้ง ต.สบโขง อ.อมก๋อย จ.เชียงใหม่ หมู่บ้านเล็กๆ 17 หลังคาเรือน นักเรียน 25 คน อนุบาล-ม.6
#21 ต.ค.เมื่อรถออกจาก อ.อมก๋อย เพื่อที่จะเข้าไปในหมู่บ้านนี้ เป็นระยะทาง 50 km ดูไม่ไกล แต่ตลอดเส้นทางต้องขับลัดเลาะภูเขาเข้าไป ใช้เวลาราวเกือบ 3 ชั่วโมง แต่ตลอดเส้นทางไม่รู้สึกกลัวอะไรเลย กลับรู้สึกสนุกและตื่นเต้นกับวิวข้างทางซึ่งสวยงามมากและอากาศดี อีก 6 km ก่อถึงโรงเรียนก็มีฝนตกลงมา พวกเราที่อยู่ข้างหลังเลยถูกคลุมด้วยถุงพลาสติกขนาดใหญ่ ประหนึ่งว่าอยู่ในโรงเพาะชำ

-เมื่อรถจอดหน้าโรงเรียน ทิวทัศน์ของที่นี่สวยงามเกินที่กล้องถ่ายภาพจะเก็บไว้ได้ทั้งหมด แว้บแรกที่เจอเด็กๆ เค้าก็ยังกลัวๆเราอยู่ พอถามก็ไม่ตอบ แถมนิ่งแล้วบางคนก็เดินหนีไป แต่ครูพริ้วจะคอยบอกพวกเราตลอดว่าเด็กแต่ละคนเป็นอย่างไร
-เราได้ไปพักที่บ้านของนอสุกอห์ บ้านของเธอน่าอยู่มาก เป็นบ้านไม้ทั้งหลัง ยกถุนสูง มองออกไปเห็นวิวเป็นภูเขาซ้อนกันเรียงรายพร้อมถูกปกคลุมด้วยหมอก สิ่งที่ทำให้ฉงนอยู่สักพักคือภาพในหลวงที่ห้อยอยู่บนฝาบ้าน ทำให้ได้รู้ว่าไม่ว่าจะอยู่ไกลแค่ไหนเด็กไทยที่เกิดมาไม่มีใครที่จะไม่รู้จักในหลวง เธออายุเท่าๆกันกับเรา บ้านของเธออาศัยอยู่ด้วยกันทั้งหมด 4 คนเธอมีลูกสาวหนึ่งคนชื่อปพิชญา(น้องเมิงเราะห์)กับธนพล(โนโน้ะ) อายุ 2ขวบกว่าแต่เป็นเด็กที่ซนและแข็งแรงมากเท่าที่เคยเจอมา วัฒนธรรมของคนที่นี่ดีมากจนเราเกรงใจ วันที่พวกเราจะเอาข้าวเย็นที่เหลือจากตอนเช้าออกไปกินกันที่โรงเรียน เธอเพิ่งกลับจากเกี่ยวข้าวดอยซึ่งก็ใกล้มืดแล้วพอเธอเห็นก็รีบมาตักข้าวใส่หม้อหุงให้ทันที เราเลยชิ่งเอาหม้อข้าวเดิมออกมา พร้อมกับบอกว่าข้าวมันยังไม่เสียเลย เธอเลยถามพวกเราว่า ” จะกินได้เหรอคะ” เลยตอบไปว่า กินได้หมดยกเว้นข้าวบูด++ เธอเลยยอมตกลงแต่โดยดี
-ที่นี่ถือได้ว่าไม่มีไฟฟ้าก็ว่าได้ เพราะใช้เป็นแผงโซลาร์เซลล์ บ้านที่เราอยู่พอ 6 โมงกว่าก็เริ่มมืดแล้ว โชคดีหน่อยบางทีเห็นเจ้าของบ้านเปิดไฟแต่เป็นหลอดหัวเทียนเล็กๆให้แสงสีสัมสลัว วันนั้นพอทุกคนเข้านอนหมดแล้วเราเลยกะจะมานั่งตัดเล็บโดยอาศัยแสงไฟซะหน่อย ที่ไหนได้มองไม่เห็นแม้กระทั่งเล็บตัวเอง ได้งมๆตัดโดยใช้ระบบสัมผัสก็ว่าได้ ตอนกลางคืนของทุกวันสิ่งที่ทุกคนต้องใช้คือไฟฉายและเทียนประหนึ่งว่ากำลังอยู่ในละครเรื่องนาคี ปล.ที่นี่ดาวสวยมาก
#22 ต.ค. วันแห่งกิจกรรม เด็กๆ เข้าแถวเคารพธงชาติในตอนเช้าพร้อมกับลดธงลงครึ่งเสา ภาคเช้าเราได้เจอกลุ่มเด็กเล็ก ภาคบ่ายเป็นกลุ่มเด็กโต กิจกรรมเป็นไปอย่างเรียบง่าย หลังจากกิจกรรมเสร็จ เรากับเด็กก็เริ่มรู้จักกันมากขึ้น ประมาณว่าสนิทชิดเชื้อ จนเป็นที่มาของตำแหน่ง ”ธิดาห้วยแห้ง” เพราะเด็กๆทำมงลงหัว จนดอกไม้หน้าเสาธงนี่หายเกลี้ยง คิดทีก็ตลก
#23 ต.ค. วันแห่งการสำรวจห้วยแห้ง สิ่งที่ครูต้อนกับครูอรพร้อมเด็กๆ จะพาเราไปในวันนี้คือไปดูการเกี่ยวข้าวดอยของชาวบ้าน เดินไม่ไกลแต่เหนื่อพอสมควรเพราะต้องขึ้นเขาลงเขาหลายลูก มองไปไกลจะเห็นภูเขาสีทองเพราะข้าวเหมาะแก่การเก็บเกี่ยวแล้ว สิ่งที่น่าทึ่งที่สุดคือภูเขาสูงและชันมากมองข้างหลังทีนี้หวาดเสียวเหมือนกัน ประหนึ่งว่าปีนเนินมรณะที่ภูสอยดาวเพื่อขึ้นไปเกี่ยวข้าว แต่ชาวบ้านก็เกี่ยวกันอย่างชิลเพราะเป็นเจ้าถิ่นและมีความชำนาญเป็นพิเศษ อีกอย่างน้ำในสำธารของที่นี่สะอาดไม่มีสารพิษแต่ที่ต้องระวังพวกแบคทีเรีย แต่นั่นไม่ใช่ปัญหาสำหรับมดเพราะเราคือสายดิบ เลยตวงดื่มไปหนึ่งจอกก็สดชื่นดี
-ขากลับพวกเราแวะทางข้างที่ลำธาร ห่อข้าวใส่ใบตองกันมา แล้วนั่งเปิบอย่างเอร็ดอร่อย เด็กๆที่นี่ขึ้นเขา-ลงเขาอย่างเร็วและเก่งมากและอยู่กับป่าได้อย่างลงตัว ประหนึ่งว่าเป็นลูกทาร์ซาน พอกินข้าวเสร็จเด็กๆ ก็จะเอาข้าวใส่ใบตองมาให้เจ้าหมาขาวที่นำทางพวกเรามาตลอด เป็นภาพที่มองเห็นแล้วก็อดยิ้มไม่ได้
-พอกลับถึงโรงเรียน เมนูที่ครูอรและครูต้นจะพาทำก็คือยำมะเขือเทศใส่มะละกอ น้ำที่จะนำมายำมีส่วนผสมคือ ปลาร้าต้ม กะปิ น้ำปลา กระเทียมและพริก ทุกคนช่วยกันอย่างรวดเร็ว พอเสร็จสรรพพร้อมทานเราก็ซวบกันอย่างไม่ยั้ง สิ่งที่สังเกตเห็นคือเด็กที่นี่ไม่เลือกอาหาร กินได้ทุกอย่างและชอบทานผักเป็นพิเศษ ทุกคนจะกินจนหมดแทบไม่เหลือและคนที่ไม่อิ่มก็จะไปตักเพิ่มรอบสอง เพราะต่างรู้ถึงคุณค่าของอาหาร
-พอตกเย็น เรามีแพลนกันว่าจะทำกิจกรรมรอบกองไฟ ฟืนพร้อม เก้าอี้พร้อม มันเทศก็พร้อม ทุกอย่างถูกจัดแจงไว้หน้าเสาธง แต่วันนั้นหมอกหนาและมีฝนปรอยๆ ทุกคนจึงได้รอบกองไฟในอาคารเรียนแทน
# 24 ต.ค. วันแห่งการจากลา
-8 โมงเช้า พอทุกคนเก็บของเสร็จ เราก็มาพบกันกับเด็กๆอีกครั้งที่หน้าเสาธง เด็กๆมองพวงกุญแจให้ครูอาสาคนละ 1 อัน เป็นของที่เด็กๆทำกันเอง ตอนกล่าวลานี้พูดมากไม่ได้นะ เดี๋ยวจะร้องไห้หนักมาก พอขึ้นรถเสร็จก็พากันยืนอยู่กระบะข้างหลัง พอรถเคลื่อนตัวออกจากหน้าโรงเรียนเด็กๆก็ยืนโบกมือลาพร้อมตะโกนเรียกชื่อครูแต่ละคน เป็นภาพที่ทั้งประทับใจและหดหู่สุดๆ
-ครูบอกกับพวกเราว่าไม่ต้องเน้นวิชาการแต่ให้เด็กเค้ามีความสุขก็พอ บอกได้เลยว่าเด็กที่นี่อาจเป็นเด็กที่มีความสุขที่สุดในโลกก็ได้ พวกเค้าเป็นเสมือนดวงใจน้อยๆแห่งขุนเขา เด็กๆที่นี่เค้ารักกันมาก เด็กที่โตกว่าดูแลเด็กที่เล็กกว่า พี่สาวตัวเล็กๆที่อยู่อนุบาลต้องคอยป้อนข้าวน้องชายที่ยังเล็กกว่าทุกคนดูแลกันอย่างไม่มีขีดแบ่งกั้น มีความรับผิดชอบที่น่าชื่นชม รวมถึงวัฒนธรรมและสภาพภูมิศาสตร์ของที่นี่ยังคงความเป็นดั้งเดิมซึ่งสวยงามอยู่แล้ว การได้มาอยู่ที่นี่ 3 คืน 4 วัน การไม่มีไฟฟ้าใช้ตามปกติแบบทั่วๆไป การไม่มีคลื่นโทรศัพท์ การต้องผ่าฟืนก่อไฟทำอาหาร ไม่เรียกว่าเป็นความลำบาก แต่คือวิถีชีวิต นอนตั้งแต่ 2 ทุ่ม ตื่นมา 3 ที ก็ยังไม่เห็นดวงอาทิตย์ ได้แต่บ่นว่าเมื่อไหร่จะเช้าสักที เพราะที่นี่ทุกอย่างดูช้าไปหมดแต่นี้คือสิ่งที่ดี เด็กๆที่นี่พูดไทยชัดแจ๋ว แต่เมื่อต้องพูดกับคนแก่หรือผู้เฒ่า ซึ่งจะไม่พูดภาษาไทยกับเรา สิ่งที่ทำให้เราเข้าใจกันได้มากขึ้นคือ เด็กๆจะช่วยแปลให้เรา
#ทุกอย่างของที่นี่ ถูกรับรู้ได้ด้วยตา สัมผัสได้ด้วยใจและถูกเก็บไว้ในความทรงจำ แล้วเจอกันใหม่
.ขอบคุณรูปภาพจากตุ๊กติ๊ก

อัลบั้มภาพโดย ครูมดแดง

Copy Protected by Chetan's WP-Copyprotect.