เด็กดื้อ…ทำให้ครูอาสาอึ้ง ทึ่ง หลายอย่าง น้ำใจกับถ้อยคำที่ห่วงใย ผมช่วยถือไหมครับ หนักไหมครับ

แรกได้ยินคำว่าเด็กดอย ผมนึกถึงเด็กน้อยหน้าตามอมแมมที่ไม่ค่อยได้อาบน้ำ ทั้งที่ลำธารน้ำใสไหลผ่าน หมู่บ้าน ซอแหมะ เป็นชื่อโรงเรียนและหมู่บ้านนั้น อาจไม่คุ้นชื่อนี้กันนัก แต่ถ้าเอ่ยถึงทิโพจิ หลายคนคงร้องอ๋อ….ทว่าซอแหมะยังดิบและยังคงความเป็นชนเผ่าอยู่ชนเจน ขนาดคนนำทางขอร้องให้คัดเสื้อผ้าบริจาคออกก่อน เพื่อเขาจะได้ใช้ชุดชนเผ่าต่อไป …ผมจึงตัดสินใจที่จะไปในทันทีที่อ่านโครงการจบ..และเริ่มสะสมของเล่นไว้ ฝากเด็กจนได้กล่องใหญ่ โครงการลาพักร้อนไปสอนเด็กดอย ตั้งชื่อได้สะดุดตาสะดุดใจ แม้แต่คุณกนก (ข่าวข้นคนข่าว) อ่านแล้วยังบอกว่าอยากลาพักร้อนไปจัดรายการบนดอย นับว่าครูต้อมประสบความสำเร็จตั้งแต่คิดชื่อโครงการเลยทีเดียว  สถานที่จัดรุ่นสองนี้ก็นับว่ามองการไกลไปมากกว่าการศึกษาเน้นการท่องเที่ยว และกิจกรรมวันเด็ก จนรู้สึกว่ายังไม่ได้ทำหน้าที่ครูเลย โชคดีที่มีบรรพตอยู่ใกล้ ๆ……ได้พูดคุยยามเช้าที่นอกชานบ้านไม้ไผ่ยามเช้าคราวสายหมอกหยอกเอินกับ ริ้วประกายฉายแสงตะวัน…ข้าวสารอาหารไก่โปรยปรายเรียกลูกเจี๊ยบพร้อมแม่ไก่ มาล้อมวง และอุ้มไก่ชนเดือยคมมาชมเชยอวดครูอาสา นี่จะตี(ชนไก่)ได้แล้ว หากค่ำคืนแรกครูก้อยไม่หลอกล่อให้สี่สาวร้องเพลงประกอบการเต้นรำ ท่าเต่าสี่ขา… คงไม่ชินตาผมนัก แต่เห็นภาพอังคณาหน้าทะเล้นที่เต้นหน้าเต๊นท์ อย่างสดใส ในคืนสลัว บรรยากาศแรกของครูอาสาเริ่มชัดเจนและอยู่ในความทรงจำสืบเนื่องจากการแบกถุง ผักมากมายแต่ไม่ค่อยมีใครกินไปบ้านบนเนิน(สองเนิน) แม่ของภาณุ บรรพต และบอมส์ กับข้าวมื้อแรกเริ่มชุลมุนเมื่อครูอาสารุ่นหลานหายหน้าหายตาไปชมลำธารกันหมด นาแมโหล (เรียกผิดหรือเปล่า) เจ้าของบ้านพยายามสื่อสารและพูดคุย จนเมื่อยมือจึงสรุปได้ความว่าช่วยทำให้พวกเรากินด้วยละกัน รอทำเองคนอดแน่ ๆ วันต่อมาภาระนี้จึงสืบทอดมายังบอมส์บ้าง แม่นาแมโหลบ้าง  อิ่มอร่อยประทับใจไม่รู้ลืมจริง ๆ สักวันคงมีโอกาสได้ย้อนไปกินอีกสักมื้อ หรืออาจย้ายไปรวมสังสรรค์ที่บ้านมะแต ญาติกัน กิจกรรมวันถัดมาก็สนุกครึกครื้นแต่ค่อนข้างคุ้นเคย ประทับใจการล้อมวงกินข้าวของนักเรียน

ตอน ชีวิตที่ชัดเจนขึ้น…

ตอน ชีวิตที่ชัดเจนขึ้น… เมื่อวันจันทร์ที่ ๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๓ ที่ผ่านมานี้ ได้ไปโรงพยาบาลเพื่อรับการรักษาโรคส่วนตัวมา ซึ่งมันเป็นโรคเดิมที่เคยเป็นเมื่อปีที่แล้ว จนถึงขั้นต้องขึ้นเตียงผ่าตัด กันเลยทีเดียว เนื่องจากการไม่ยอมสนใจที่จะเข้ารับการรักษาให้ถูกต้อง และไม่ใส่ใจที่จะไปพบแพทย์ตั้งแต่เริ่มมีอาการป่วย… สิ่งเดียวที่ทำให้ครั้งนี้ไปพบแพทย์อย่างไม่ดื้อดึงเหมือนเมื่อก่อน คือ “เด็กบ้านแม่ฝางหลวง” คิดได้แต่ว่าถ้าเราเองยังดูแลตัวเองไม่ได้ แล้วเราจะเอาเรี่ยวแรงที่ไหนไปดูแลเด็กๆที่เรารักบนดอยนั้น สงสัยคงจะอดกลับ ไปหาลูกชายลูกสาวบนดอยแน่เลย และคงจะอดสานฝันของตัวเองต่อไป… นึกถึงแต่เด็กๆที่ยังรอคอย… นึกถึงโอกาสดีดีในชีวิตที่พวกเค้าควรจะได้รับ… นึกถึงการเฝ้าคอยดูแลเค้าให้เติบโตขึ้นมาเป็นคนดี… นึกถึงยามที่เค้าเติบใหญ่และใช้กำลังที่เค้ามีพัฒนาบ้านเกิดของตัวเอง… ผ้าขาวที่ยังไม่มีสีสัน เด็กน้อยที่ยังไม่มีทิศทาง… นึกถึง นึกถึง นึกถึง.. .. .. การเข้ามาเป็นครูอาสา ทำให้ตัวเองรู้สึกว่าชีวิตเรายังคงมีคุณค่าและมีความหมาย ค้นพบทิศทางในชีวิตที่ชัดเจนขึ้น จากเมื่อก่อนที่ใช้ชีวิตล่องลอยไม่รู้ตัวเอง แม้แต่ตัวเองยังไม่รู้จักดูแลให้ดีเลย แต่ในวันนี้ได้ค้นพบชีวิตที่ชัดเจนยิ่งขึ้น… “ถึงแม้ไม่มีใครมองเห็นเรา แต่เราก้อมองเห็นตัวเราเอง”

เหตุการณ์พลิกผัน จากวันนั้น จนถึงวันนี้กลับทำให้อยากไปอีก

เปิดเวป Pantip มาเปิดไปห้องกระทู้ไหนจำไม่ได้วันนั้นบังเอิญๆ รับสมัครครูผู้มีหัวใจอาสาต้องการเป็นครู แต่ไม่มีโอกาสได้เป็น Wow แหล่มเลยฉันต้องการอยากจะทำมั่ง เลยสมัครทางเวป พร้อมกับจิตที่กังวลๆไม่รู้จักใครเลยนอกจากอาจารย์ต้อม (แรกเรียก อ.ต้อม)  ด่านแรกสมัครไปละ เตรียมหาซื้อของไปฝากเด็กๆ เอาอะไรไปมั้งละเนี่ย ก็ซื้อๆไป พอถึงวันเดินทางเข้าจริง พับพ่าเหอะฝนตกชิบเลยเหลือเวลาอีก 15 นาที รถก็จะออกละ ยังไปไม่ถึงไหนเลย คนขับรถก็บอกว่ายังไง ๆ ก็ไปไม่ทันหรอกแก้ว ฉันเลยตอบไปว่าเชื่อไหมต้องมีเหตุการณ์ไม่คาดคิดถ้าเราจะทำดียังไงแก้วก็ ต้องทันรถออกแน่ ๆ แล้วเราก็นั่งนิ่งกันในรถ เป็นไปได้ 16 นาทีจากวิภาวดีไปถึงหมอชิต ลงรถหน้าอำเภอไชยปราการ หิ้วของเห้ยทำไมมีแต่คนขนของลงจุดนี้เต็มไปหมด นั่งมาคันเดียวกันสงสัยพวกครูอาสาแน่เลย คิดในใจ อืมม ไปรอห้องสมุดก่อน สักพักรอคนมาพร้อมก็ไปรวมตัวกันที่ห้องประชุมแนะนำตัวกัน กิจกรรมร่วมกัน ทานข้าว ครูต้อม หรือครูใหญ่นี้อ่ะ บอกจะมีรถมารับขึ้นดอย พอถึงจุดหมายปลายทาง ครูต้อมบอกพวกครูอาสาขนเสบียงเข้าบ้านพักครับ แจก ไหงปลาทูเค็ม 2 ตัว ไข่เค็ม 4 ฟองมั้ง น้ำให้คนละ 2 ขวด

หัวใจคือเหตุผล

กาล…คลานหวังพบประสบพักตร์ หวัง…รู้จักทักถ้อยร้อยสหาย แบ่งปัน…น้ำจิตมิตรรักด้วยทักทาย ถึง…สิ่งหมายคือมิตรคิดจริงใจ -กลั่นกรองเป็นอักษร..ฝากคำอ้อนคล้องรักแทนพวงมาลา(ใจ)- คงไม่สามารถที่จะหาถ้อยคำใดๆมาเปรียบหรือเทียบได้กับความรู้สึกที่เกิดขึ้นในใจของเด็กผู้หญิงคนหนึ่งบนโลกใบใหญ่แห่งนี้ได้หรอกค่ะ นอกจากจะบอกว่าขอบคุณทุกๆคนที่มีจิตที่เป็นมิตร ด้วยจิตที่บริสุทธิ์จนก่อเกิดผลผลิตที่งอกงามที่ส่งต่อพร้อมส่งสื่อออกมาทางแววตา และการกระทำด้วยน้ำใจมิตรไมตรีที่มีต่อกันด้วยสิ่งที่ร่วมกระทำกันมาจึงทำ ให้รู้ว่าบนโลกใบใหญ่นี้ยังมีคนกลุ่มเล็กๆที่มีพลังใจในความเอื้ออาทร และความรักแฝงอยู่….ให้ยิ่งผูกพัน คอยห่วงหาอาทร มันไม่เคยเปลี่ยนไป ตามกาลเวลามีแต่เพิ่ม….ความรู้สึกดีๆที่ยิ่งใหญ่ที่เกิดขึ้นในวันนั้นยัง ส่งต่อมาถึงวันนี้ และวันอื่นๆอีกต่อไปโดยที่ไม่มีคำนิยามใดๆมาพรากได้ ขอบคุณจริงๆค่ะขอบคุณทุกๆ คนที่ร่วมกันสร้าง ร่วมกันลงมือ จนเกิดสิ่งที่ดีขึ้นทั้งภายนอกและภายใน(จิตใจ) ^.^-ฟางข้าว-^.^

การจากกันครั้งนี้ก็เพื่อรอเวลาที่จะได้กลับมา พบกันใหม่อีกครั้ง

เป็นความทรงจำครั้งหนึ่งที่ไม่อาจลืมเลือนเลย ค่ะ มันต่างกับการที่เราได้ดูจากโทรทัศน์ จากการอ่านในหนังสือ จากการฟังคนอื่นๆ บอกเล่าเรื่องราว มันเป็นประสบการณ์แห่งความทรงจำที่ยังอยู่ในภาพประทับใจเสมอ และตลอดไป การเป็น  “ครูอาสา”   ครั้งแรก ในช่วงระยะเวลาเพียงแค่ 4 วันที่ได้อยู่ ณ บ้านแม่ฝางหลวงนั้น มันกลับสร้างเรื่องราวดีๆ  ให้เกิดขึ้นมากมาย  เราได้มีโอกาสเข้ามาสัมผัส เรียนรู้วิถีชีวิต วัฒนธรรม ประเพณี ของชนเผ่าลาหู่   ได้เข้ามาสัมผัสกับสิ่งที่เป็นจริงอีกด้านกับการเป็นครูอาสาที่นี่ ใน ความเป็นจริงแล้วการมาครั้งนี้ของเราในความคิดภาพแรก เรายังนึกไม่ออกด้วยซ้ำ ว่าเราจะให้ความรู้พวกเค้าได้มากแค่ไหน อย่างไร แต่แค่มีใจที่อยากจะมาเท่านั้น และคิดว่าน่าจะทำให้ดีที่สุดเท่าที่เราจะสามารถทำได้ พอถึงเวลาจริงๆ นั้น เรากลับพบว่า สิ่งที่เราได้สอนให้พวกเค้าไปนั้นกลับไม่ใช่ ความรู้ วิชาการ ที่มีอยู่ในห้องเรียน แต่กลับเป็น ความสามัคคีในการทำกิจกรรมต่างๆ ระหว่างครูด้วยกัน ครูกับเด็ก และแม้แต่เด็กกับเด็กเอง และเราก็ได้พบ ว่าเราได้กลับไปพร้อมกับ มิตรภาพ ความรัก ความเอาใจใส่จากครูอาสาด้วยกันเอง ที่เราไม่เคยคาดคิดว่าจะได้จากคนที่เราไม่เคยรู้จักกันมาก่อน  เสียงหัวเราะ รอยยิ้ม ความไร้เดียงสา และความสดใสของเด็กๆ ทำให้เรารู้สึกอิ่มเอมใจทุกครั้งที่ได้มอง  การที่เราได้เป็นที่รักของเด็กๆ

วันเด็กฉัน วันเด็ก บนดอย

6 ม.ค.53 6 โมงเย็น กทม. ไม่น่าเชื่อว่ากรุงเทพฯจะเจอฝนกระหน่ำแต่ต้นปี เพิ่งผ่านพ้นปีใหม่มาไม่กี่วัน และมันยังอยู่ในช่วงฤดูหนาวมิใช่หรือ น้ำท่วมฟุตบาท เห็นสิงห์มอเตอร์ไซด์จูงรถคู่ชีพ เดินลุยน้ำกันขวักไขว่แล้วชักใจเสีย ไอ้เราก็ถอยกลับไม่ได้แล้ว และถ้ามีเหตุให้ต้องจูงรถเหมือนใครหลายคนนั้น คงไม่ต้องไปกันแล้วดงดอยที่ไหน แค่หมอชิตคงไปไม่ถึง……..โชคยังดี…. ไปเถอะไปกัน 8 ม.ค.53 วัยเด็กของเราก็ผ่านมาเนิ่นนาน แต่ความเป็นเด็กก็ฝังรากเป็นฐานพีรามิด ของการเติบโตสู่ความเป็นผู้ใหญ่ (นั่นหมายถึงต่างก็มีความเป็นเด็กอยู่ในตัวกันทั้งนั้น) กิจกรรมวันเด็ก ทั้งเด็กบนดอยและคนคอยดู เกมส์การแข่งขันผ่านไปทีละเกมส์ ๆ ถ้าหากความสนุกและอารมณ์ร่วมที่เพิ่มทวีมีมากขึ้นละก็ ไม่แปลกเลย มันเหมือนเป็นการสะท้อนกลับสู่ความต้องการของตัวเอง และถ้ามีโอกาสก็จะกระโดดเข้าไปหาโดยไม่รั้งรอ เกมชักเย่อรอบชิงฯ บ่งบอกอาการเหล่านี้ได้ชัดเจนที่สุด ณ เวลาสั้นๆแค่ช่วงนาทีนั้น การได้ออกแรงเต็มที่มันเหมือนเป็นช่วงเวลาที่เยิ่นเย่อและยาวนาน ไม่ใช่แค่เพียง สีฟ้าและสีชมพู ที่จับคู่แข่งกันในทีแรก แต่ทั้งสองฟากฝั่งเชือกต่างเพิ่มจำนวนสมาชิกเป็นแถวยาวเหยียด ที่มีทั้งเด็กผู้เข้าแข่ง ผู้ไม่มีสิทธิเข้าแข่งแต่อยาก พ่อแม่พี่น้องของเด็กผู้เข้าแข่ง กรรมการที่ความเป็นกลางไม่เหลือ พี่เลี้ยงของสีทุกสีที่ไม่ใช่แค่สองสีที่กำลังแข่งขัน เหมือนทุกคน ณ ที่นั้นต่างทยอยกระโดดเข้าหาช่องว่าง เพียงสองมือจับของเชือกทั้งสองฝั่งจนยาวเหยียด สุดปลายที่มองไม่เห็นว่าหางแถวนั้นอยู่ที่ไหน ยื้อกันสุดแรง เกิดเป็นภาพที่ให้ความหมายอีกด้านของการแข่งขัน ที่มิใช่แค่เพียงต่างมุ่งหวังเพื่อการเอาชนะ แต่เหมือนต่างต้องการจะยื้อเวลาที่มีร่วมกันนี้ให้ยาวนานออกไป Mr_Ohn

มาอย่างผู้ให้ กลับไปอย่างผู้รับ (V)

รู้สึกว่าตัวเองโชคดีที่ได้เป็นส่วนหนึ่งร่วมกันเป็นครูอาสา จริงๆไม่อยากให้เรียกครูวีเท่าไร เพราะไม่ได้สอนอะไรเลยนอกจากขานเลขบิงโก ตอน แรกก็กังวลเล็กน้อยที่มากับคนไม่รู้จัก ไม่รู้จะเข้ากันหรือคุยง่ายแค่ไหน พอลงรถมาเห็นแต่ผู้แก่กล้าประสบการณ์ทั้งนั้น มองไปทางไหนก็มีแต่คนทำงาน แต่สุดท้ายท้ายสุดผมว่าตนเองโชคดีที่ได้เจอเพื่อนๆพี่ๆ(+น้าๆ) ที่คุยง่าย อัธยาศัยดี ผมคิดว่าทุกคนเป็นส่วนเติมเต็มของกันและกัน ที่ทำให้กิจกรรมครั้งนี้เกิดความ ประทับใจ ผมรู้สึกโชคดีมากที่ตัวเองเคยเป็นเด็กมาก่อน ^ ^ แต่ในวัยเด็กนั้นผมก็ผ่านเรื่องแย่ๆมาบ้าง ของขวัญเป็นสิ่งที่ผมคิดว่าผมขาดไปอย่างมาก ผมอยากได้ของขวัญปีใหม่ วันเกิด แต๊ะเอีย แต่น่าเสียดายที่ผมแทบจะไม่เคยได้รับ ทำให้คิดว่าโตขึ้นมีลูกจะแจกมันทุกปีไปเลย (แต่โตมาก็เข้าใจที่บ้านนะครับ) จนมาถึงวันหนึ่งผมคิดได้ว่าคนอื่นๆก็คงคิดเหมือนเรา ขอทานเองก็คงอยากได้ของขวัญวันคริสมาส ของขวัญปีใหม่ เด็กๆด้อยโอกาสเองก็คงอยากได้ของเล่นไม่ต่างจากผม ตั้งแต่นั้นผมก็หาโอกาสทำบุญมากขึ้นและพอเข้ามหาลัยก็คิดว่าต้องไปค่ายสร้าง หรือค่ายอะไรก็ได้ที่ทำประโยชน์ให้แก่คนอื่น ตอนปีสองผมก็เคยไปสอนหนังสือเด็ก ป 5 เทอมนึงทำให้รู้เลยว่าเป็นครูนี่มันเหนื่อยแทบขาดใจจริงๆ อยากจะกลับไปขอโทษครูทุกคนที่ผมไม่ตั้งใจในห้อง…จนวันหนึ่งก่อนปีใหม่ก็มา เจอกิจกรรมนี้จากห้องสยามก็ไม่ลังเลที่จะตกลงว่าจะไป จริงๆก่อนที่จะไปมีหลายอย่างเกิดขึ้นที่ทำให้ผมจะไม่ได้ไป แต่ใจเหมือนมีความรู้สึกว่านี่เป็นสิ่งที่เราพลาดไม่ได้ สุดท้ายก็มาถึงหมอชิตทันเวลาขึ้นรถ อยากจะบอกว่ารู้สึกแปลกใจเล็ก น้อยที่กลุ่มครูอาสามีการประชุมกันแบบนี้ คือคิดว่าหลายคนตั้งใจทำจริงๆ อยากให้เด็กๆมีความสุขจริงๆ ตัวผมเองนั้นก็อยากจะช่วยให้มากกว่านี้ แต่ไม่สามารถทำประโยชน์ได้มากเท่าไรนักทำได้แค่เพียงเสิร์ฟน้ำเท่านั้น ผมหวังจริงๆนะครับว่าจะให้กลุ่มนี้รวมตัวกันแบบนี้ต่อไปและให้โอกาสหรือจะ ปันแสง ให้น้องๆได้ตลอดไป ขอบคุณครูต้อมนะครับที่ทำให้ผมได้มีโอกาสได้ สัมผัสสิ่งที่ผมไม่เคยได้เจอมาก่อนและยังทำให้ผมได้เจอพี่ๆน้าๆที่น่ารัก ขอบคุณจริงๆครับ รู้สึกเหมือนกับประโยคหนึ่งที่เคยอ่านในเน็ตแล้วก็จำได้ ว่าเขาไม่ได้ห้ามนำมาเผยแพร่ต่อ… “มาอย่างผู้ให้กลับไปอย่างผู้รับ”

ทำไมต้อง ลาพักร้อน มาสอนเด็กดอย

อดีต ผมก็เป็นมนุษย์เงินเดือนคนหนึ่ง ที่ใช้ชีวิตในกรุงเทพฯ มาสิบกว่าปี โดยชีวิตการทำงาน ก็มีแต่งาน วันหยุด ก็พักผ่อนตามห้าง ดูหนัง ฟังเพลง ท่องอินเตอร์เน็ต และเล่นเกมส์คลายเครียด ตามประสาคนธรรมดาของมนุษย์เงินที่พอจะใช้ชีวิต พอวันหยุดที่มีแต่เดิม ๆ อยากหาอะไรทำใหม่ ๆ บ้าง เพราะรู้สึกว่าชีวิตไม่ค่อยมีชีวิตชีวา จึงได้เข้าร่วมกิจกรรมอาสากับทีมงานกระจกเงา เป็นส่วนหนึ่งของครูบ้านนอก การร่วมกิจกรรมครั้งนั้น เกิดความประทับใจ ทำให้อยากลาออกจากงานที่กรุงเทพฯ เพื่อทำตามฝัน เมื่อได้มาอยู่บนดอยกับเด็ก ๆ และชุมชนแล้ว ได้มองเห็นว่า เราเคยได้รับโอกาสให้เข้ามาสัมผัสกับวิถีชีวิตชุมชน จึงอยากเปิดโอกาสนั้น ให้กับผู้คนในเมืองใหญ่ ๆ ได้ลองมาสัมผัสดูบ้าง เลยกลายเป็นที่มาของ ครูอาสา “ลาพักร้อน มาสอนเด็กดอย” ด้วยระยะเวลาอันจำกัด ๔ วัน ๓ คืน หรือตามความสะดวก ของอาสาสมัคร เป็นการให้โอกาสกับผู้ใหญ่ใจดี ที่มีอยู่มากมาก เพียงแต่ยังหาสถานที่ หรือเป้าหมายไม่เจอ จึงได้นำกิจกรรมของทีมงานกระจกเงามาประยุกต์ โดยมุ่งหวังที่ความสุขของผู้ให้และผู้รับ โดยมีกิจกรรมครูอาสา เป็นสื่อในการเข้าถึงชุมชน

จุดเริ่มต้นของการเป็นครูดอย

 จุดเริ่มต้นของการเป็นครูดอย “ถ้าไม่ไปตอนนี้ แล้วเมื่อไหร่จะได้ทำตามฝัน” เป็นคำถามที่ถามตัวเองตลอดเวลาก่อนจะออกเดินทางตามหาฝัน เชื่อว่าทุกคนมีฝันเป็นของตัวเอง ฝันของผมอาจจะเหมือนฝันของใครหลาย ๆ คน ผมตามหาฝันของผมพบแล้ว ผมอยากแบ่งปันฝันของผมให้กับคนอื่น ๆ บ้าง ขอแนะนำตัวหน่อยครับ ชื่อต้อม ชื่อจริงนายสุวรรณ พุฒพันธ์ การศึกษา ปริญญาตรี ระบบสารสนเทศ สถาบันเทคโนโลยีราชมงคล วิทยาเขตจักรพงษภูวนารถ ดินแดง กรุงเทพฯ การทำงาน 2539 – 2547 บริษัท วีไอวี อินเตอร์เคม จำกัด (เจ้าหน้าที่คอมพิวเตอร์) กล้วยน้ำไท 2547 – 2550 บริษัท โรงพยาบาลพญาไท 2 จำกัด (Network & System Engineer) ถนนพหลโยธิน 2550-2551 อาสาสมัครโรงเรียนของหนู ครูช่วยสอน ศศช.บ้านป่าหนา ไชยปราการ เชียงใหม่ 2551-2553 เจ้าหน้าที่บันทึกข้อมูล กศน.อำเภอไชยปราการ จังหวัดเชียงใหม่ 2553-2558

Copy Protected by Chetan's WP-Copyprotect.