พาน้องเด็กดอยเที่ยวทะเลครั้งที่ ๒

พาน้องเด็กดอยเที่ยวทะเลครั้งที่ ๒ (๒๐-๒๕ เมษายน ๒๕๕๓) ถ้านับจากเดือนที่จุดประกาย ตั้งแต่กลางเดือนตุลาคม ๒๕๕๒ ได้เริ่มเตรียมงานจริงจังก็หลังจากค่ายครูอาสารุ่น ๒ เรียบร้อยแล้ว ในการเตรียมงานครั้งนี้ ก็ได้รับความช่วยเหลือ คำแนะนำหลายอย่าง จากหลาย ๆ ที่หลายคณะ จากผู้ใหญ่ใจดี ที่ระยอง จากคณะครูอาสา ที่อยากให้น้อง ๆ ได้สัมผัสสถานที่ต่าง ๆ จึงเกิดเป็นโปรแกรมทัศนศึกษา “พาน้องเด็กดอยเที่ยวทะเล ครั้งที่ ๒” หลังจากเตรียมแผนงานตลอดเดือนมีนาคม และต้นเดือนเมษายน ๒๕๕๓ ใกล้ถึงวันเดินทาง ช่วงสงกรานต์เลยขึ้นไปพักผ่อนสมอง สอนหนังสือเด็กอยู่บนดอยบ้านแม่ฮองกลาง ก่อนวันเดินทางต้องกลับมาที่ไชยปราการ เพื่อรับเด็ก ๆ ชนเผ่ามูเซอ (ลาหู่) จากบ้านแม่ฝางหลวง อำเภอไชยปราการ ไปด้วยตัวเองเนื่องจากครูใหญ่ (ธนานัน) ติดภารกิจด่วน ลูกชายบวชภาคฤดูร้อน และจะลาสิขาบท (สึก) ในตอนสายของวันที่ ๒๐ ทำให้ไม่สะดวกพาน้อง ๆไปจากไชยปราการ วันเดินทางหลังจากเบิกเงินค่ารถเรียบร้อยแล้ว ก็พาเด็ก ๆ ออกเดินทางโดยรถเมล์โดยสารจากไชยปราการ

พี่จะอยู่ถึงหน้าฝนนี้หรือเปล่าครับ ?

 พี่จะอยู่ถึงหน้าฝนนี้หรือเปล่าครับ ? ครูเล้ง ครูผู้ช่วย ในโครงการ ครู กพด. ประจำอยู่ ศศช.บ้านแม่เกิบ ยิงคำถามใส่ผม ขณะที่ผมติดรถจักรยานยนต์ น้องเขาลงมาจากดอย บ้านแม่ฮองกลาง ระยะทาง ๗๐ กิโลเมตร ใช้เวลา ๔ ชั่วโมงกว่า ทำให้เราได้แลกเปลี่ยนทัศนกันหลายอย่าง หย่อมบ้านแม่ฮองกลาง ประกอบด้วย บ้านแม่ฮองกลาง บ้านแม่เกิบ บ้านแม่ฮองใต้ และบ้านห้วยหวาย ๔ หมู่บ้านนี้ อยู่สุดท้าย ริมสุดของอำเภออมก๋อย ติดกับอำเภอแม่สะเรียงและอำเภอสบเมย ของจังหวัดแม่ฮ่องสอน ด้วยเหตุผลที่ผมเลือกบ้านแม่ฮองกลาง ด้วยเลขที่ตำแหน่งพนักงานราชการ เป็นเลข ๘๔๘ เลขสวยซะด้วย หารู้ไม่ชะตากรรม ไปไกลสุด ๆ ของอมก๋อย ดินแดน คำสาป ใครที่ถูกส่งมาอยู่ เหมือนโดนทำโทษ กันดารสุด ๆ ห่างไกล ถนนดินผุ ๆ พัง ๆ ไปตลอดระยะทางเกือบ ๗๐

พื้นที่เปลี่ยนไป แต่ความตั้งใจเหมือนเดิม

หลังจากประกาศผลการสอบพนักงานราชการ ทำ ให้ผมคิดหลายตลบ อยู่หลายวัน และแล้วผมก็กลับมาคิดถึง เรื่องที่เคยเขียนใน Facebook ชีวิตคือการวิจัย บางครั้งการทำงาน กับผลลัพธ์ที่ออกมา อาจจะไม่ใช่คำตอบที่ต้องการ ไม่ใช่สิ่งที่คาดหวัง แต่เราก็ยังต้องลองและค้นหา คำตอบและผลลัพธ์อีกต่อไป ครูอาสาทุกท่าน คงจะได้รับเมล์ ผลของการตัดสินใจในครั้งนี้ไปแล้ว นั้นคือการเลือกที่จะเปลี่ยนพื้นที่ทำงาน จากชนเผ่าลาหู่ไชยปราการ ไปยังชนเผ่ากะเหรี่ยง อำเภออมก๋อย ชีวิตมันก็มีอยู่แค่นี้ ไม่แน่นอน พบเพื่อจาก คนผ่านทาง เกิด แก่ เจ็บ ตาย มีเริ่มต้น มีจุดสิ้นสุด คงเหลือความทรงจำดี ๆ ไว้ตลอดไป โครงการครูอาสาที่เริ่มไว้ ก็คงจะเปลี่ยนเป้าหมายจากบ้านป่าหนา อำเภอไชยปราการ ย้ายพื้นที่ ไปอำเภออมก๋อย แต่ทราบว่า ทางเข้าหมู่บ้านเดินเท้าเป็นวันในหน้าฝน รถเข้าไม่ถึง ไม่รู้จะมีครูอาสาเข้าไปทำกิจกรรมกับน้อง ๆ อยู่หรือเปล่า ไม่คิดว่าจะย้ายพื้นที่ทำงานเร็วขนาดนี้ อยู่ไชยปราการมา 2 ปีกับอีก 6 เดือน แต่ก็นั่นแหละ ชีวิตคือการเดินทาง อะไรจะเกิดก็ต้องเกิด ขอบคุณกำลังใจ

บางทีเวลาก็ไม่ใช่ตัวแปรในการที่เราจะผูกพันกับใคร

เมื่อได้เห็นโครงการ “ลาพักร้อนมาสอนเด็กดอย” ไม่รอช้าในการสมัครเข้าร่วมกิจกรรมแต่ก็แอบคิดกับตัวเองว่านี่ฉันจะเอาอะไร ไปสอนเด็กได้เนี้ย มีการปรึกษาครูต้อมอยู่หลายครั้งจนครูต้อมบอกว่า “ไม่มีอะไรสอนก็ไปให้เด็กสอนภาษาลาหู่ก็ได้ครับ” การได้เข้าร่วมกิจกรรมนี้ในระยะเวลาเพียงแค่ ๔ วัน ใครจะรู้ว่ามีเรื่องราวหลายอย่างเกิดขึ้นมากมาย เกินคุ้มกับการลางาน ๒ วัน ต้องยอมรับว่าการเข้าร่วมในครั้งนี้สิ่งแรกที่ได้รับคือ มิตรภาพจากคนที่ไม่เคยรู้จักกันเลยกลับกลายเป็นเพื่อนร่วมทาง และกลายเป็นมิตรภาพที่แสนดี และภาพแรกที่เห็นเมื่อพวกเราไปถึงบ้านแม่ฝางหลวง เด็กน้อยสามคนวิ่งมายืนดูและยิ้มให้ตรงทางเข้าหมู่บ้าน พอเดินไปถึงโรงเรียนก็พบเด็กๆมากมายมานั่งรอที่หน้าโรงเรียน เด็กๆบอกว่ามารอรับครูอาสา โอโห้ รู้สึกว่าทุกคนให้ความสำคัญกับพวกเราจัง “กิจกรรมวันเด็ก วันแห่งการให้” วันนี้ได้เห็นความมุ่งมั่น ความสามัคคี ของเด็กๆ ของครูอาสา และชาวบ้านที่มาร่วมกิจกรรม ได้เห็นรอยยิ้ม ได้ยินเสียงหัวเราะ ที่มองกี่ครั้งก็สดใส จริงใจ และแสนบริสุทธิ์ มีบางครั้งที่การแข่งขันทำให้เกิดการบาดเจ็บ แต่เด็กน้อยในชุด Spiderman ก็เข้มแข็ง เก่งมากนะ เจ้ามนุษย์แมงมุมตัวน้อยกรกช ในเมื่อกิจกรรมเป็นการแข่งขันระหว่างสีก็ต้องมีของรางวัลสำหรับผู้ชนะ ความประทับใจเกิดขึ้นอีกแล้ว เด็กๆมุ่งมั่น จริงจังในแต่ละกิจกรรมที่จัดให้ แต่เมื่อได้ของรางวัลมาก็ไม่ลืมที่จะแบ่งสิ่งที่ตัวเองได้รับให้เพื่อนๆ ไม่เห็นว่าเด็กที่นี่จะหวงของเลย ทุกครั้ง ทุกคนก็จะแบ่งให้เพื่อนได้ หยิบของตัวเองไว้หนึ่งแล้วส่งต่อให้เพื่อนคนอื่น วันนี้ไม่เพียงแต่เด็กๆสนุก แต่ครูอาสาแต่ละคนก็สนุก เหมือนเป็นวันเด็กของตัวเองอีกครั้ง เรียกได้ว่าหลายคนขอย้อนวัยกลับไปเป็นเด็กอีกครั้ง จนลืมว่าเรากำลังเล่นกันกลางแดด เล่นเอาตัวดำกันเป็นแถว

เด็กดื้อ…ทำให้ครูอาสาอึ้ง ทึ่ง หลายอย่าง น้ำใจกับถ้อยคำที่ห่วงใย ผมช่วยถือไหมครับ หนักไหมครับ

แรกได้ยินคำว่าเด็กดอย ผมนึกถึงเด็กน้อยหน้าตามอมแมมที่ไม่ค่อยได้อาบน้ำ ทั้งที่ลำธารน้ำใสไหลผ่าน หมู่บ้าน ซอแหมะ เป็นชื่อโรงเรียนและหมู่บ้านนั้น อาจไม่คุ้นชื่อนี้กันนัก แต่ถ้าเอ่ยถึงทิโพจิ หลายคนคงร้องอ๋อ….ทว่าซอแหมะยังดิบและยังคงความเป็นชนเผ่าอยู่ชนเจน ขนาดคนนำทางขอร้องให้คัดเสื้อผ้าบริจาคออกก่อน เพื่อเขาจะได้ใช้ชุดชนเผ่าต่อไป …ผมจึงตัดสินใจที่จะไปในทันทีที่อ่านโครงการจบ..และเริ่มสะสมของเล่นไว้ ฝากเด็กจนได้กล่องใหญ่ โครงการลาพักร้อนไปสอนเด็กดอย ตั้งชื่อได้สะดุดตาสะดุดใจ แม้แต่คุณกนก (ข่าวข้นคนข่าว) อ่านแล้วยังบอกว่าอยากลาพักร้อนไปจัดรายการบนดอย นับว่าครูต้อมประสบความสำเร็จตั้งแต่คิดชื่อโครงการเลยทีเดียว  สถานที่จัดรุ่นสองนี้ก็นับว่ามองการไกลไปมากกว่าการศึกษาเน้นการท่องเที่ยว และกิจกรรมวันเด็ก จนรู้สึกว่ายังไม่ได้ทำหน้าที่ครูเลย โชคดีที่มีบรรพตอยู่ใกล้ ๆ……ได้พูดคุยยามเช้าที่นอกชานบ้านไม้ไผ่ยามเช้าคราวสายหมอกหยอกเอินกับ ริ้วประกายฉายแสงตะวัน…ข้าวสารอาหารไก่โปรยปรายเรียกลูกเจี๊ยบพร้อมแม่ไก่ มาล้อมวง และอุ้มไก่ชนเดือยคมมาชมเชยอวดครูอาสา นี่จะตี(ชนไก่)ได้แล้ว หากค่ำคืนแรกครูก้อยไม่หลอกล่อให้สี่สาวร้องเพลงประกอบการเต้นรำ ท่าเต่าสี่ขา… คงไม่ชินตาผมนัก แต่เห็นภาพอังคณาหน้าทะเล้นที่เต้นหน้าเต๊นท์ อย่างสดใส ในคืนสลัว บรรยากาศแรกของครูอาสาเริ่มชัดเจนและอยู่ในความทรงจำสืบเนื่องจากการแบกถุง ผักมากมายแต่ไม่ค่อยมีใครกินไปบ้านบนเนิน(สองเนิน) แม่ของภาณุ บรรพต และบอมส์ กับข้าวมื้อแรกเริ่มชุลมุนเมื่อครูอาสารุ่นหลานหายหน้าหายตาไปชมลำธารกันหมด นาแมโหล (เรียกผิดหรือเปล่า) เจ้าของบ้านพยายามสื่อสารและพูดคุย จนเมื่อยมือจึงสรุปได้ความว่าช่วยทำให้พวกเรากินด้วยละกัน รอทำเองคนอดแน่ ๆ วันต่อมาภาระนี้จึงสืบทอดมายังบอมส์บ้าง แม่นาแมโหลบ้าง  อิ่มอร่อยประทับใจไม่รู้ลืมจริง ๆ สักวันคงมีโอกาสได้ย้อนไปกินอีกสักมื้อ หรืออาจย้ายไปรวมสังสรรค์ที่บ้านมะแต ญาติกัน กิจกรรมวันถัดมาก็สนุกครึกครื้นแต่ค่อนข้างคุ้นเคย ประทับใจการล้อมวงกินข้าวของนักเรียน

ตอน ชีวิตที่ชัดเจนขึ้น…

ตอน ชีวิตที่ชัดเจนขึ้น… เมื่อวันจันทร์ที่ ๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๓ ที่ผ่านมานี้ ได้ไปโรงพยาบาลเพื่อรับการรักษาโรคส่วนตัวมา ซึ่งมันเป็นโรคเดิมที่เคยเป็นเมื่อปีที่แล้ว จนถึงขั้นต้องขึ้นเตียงผ่าตัด กันเลยทีเดียว เนื่องจากการไม่ยอมสนใจที่จะเข้ารับการรักษาให้ถูกต้อง และไม่ใส่ใจที่จะไปพบแพทย์ตั้งแต่เริ่มมีอาการป่วย… สิ่งเดียวที่ทำให้ครั้งนี้ไปพบแพทย์อย่างไม่ดื้อดึงเหมือนเมื่อก่อน คือ “เด็กบ้านแม่ฝางหลวง” คิดได้แต่ว่าถ้าเราเองยังดูแลตัวเองไม่ได้ แล้วเราจะเอาเรี่ยวแรงที่ไหนไปดูแลเด็กๆที่เรารักบนดอยนั้น สงสัยคงจะอดกลับ ไปหาลูกชายลูกสาวบนดอยแน่เลย และคงจะอดสานฝันของตัวเองต่อไป… นึกถึงแต่เด็กๆที่ยังรอคอย… นึกถึงโอกาสดีดีในชีวิตที่พวกเค้าควรจะได้รับ… นึกถึงการเฝ้าคอยดูแลเค้าให้เติบโตขึ้นมาเป็นคนดี… นึกถึงยามที่เค้าเติบใหญ่และใช้กำลังที่เค้ามีพัฒนาบ้านเกิดของตัวเอง… ผ้าขาวที่ยังไม่มีสีสัน เด็กน้อยที่ยังไม่มีทิศทาง… นึกถึง นึกถึง นึกถึง.. .. .. การเข้ามาเป็นครูอาสา ทำให้ตัวเองรู้สึกว่าชีวิตเรายังคงมีคุณค่าและมีความหมาย ค้นพบทิศทางในชีวิตที่ชัดเจนขึ้น จากเมื่อก่อนที่ใช้ชีวิตล่องลอยไม่รู้ตัวเอง แม้แต่ตัวเองยังไม่รู้จักดูแลให้ดีเลย แต่ในวันนี้ได้ค้นพบชีวิตที่ชัดเจนยิ่งขึ้น… “ถึงแม้ไม่มีใครมองเห็นเรา แต่เราก้อมองเห็นตัวเราเอง”

เหตุการณ์พลิกผัน จากวันนั้น จนถึงวันนี้กลับทำให้อยากไปอีก

เปิดเวป Pantip มาเปิดไปห้องกระทู้ไหนจำไม่ได้วันนั้นบังเอิญๆ รับสมัครครูผู้มีหัวใจอาสาต้องการเป็นครู แต่ไม่มีโอกาสได้เป็น Wow แหล่มเลยฉันต้องการอยากจะทำมั่ง เลยสมัครทางเวป พร้อมกับจิตที่กังวลๆไม่รู้จักใครเลยนอกจากอาจารย์ต้อม (แรกเรียก อ.ต้อม)  ด่านแรกสมัครไปละ เตรียมหาซื้อของไปฝากเด็กๆ เอาอะไรไปมั้งละเนี่ย ก็ซื้อๆไป พอถึงวันเดินทางเข้าจริง พับพ่าเหอะฝนตกชิบเลยเหลือเวลาอีก 15 นาที รถก็จะออกละ ยังไปไม่ถึงไหนเลย คนขับรถก็บอกว่ายังไง ๆ ก็ไปไม่ทันหรอกแก้ว ฉันเลยตอบไปว่าเชื่อไหมต้องมีเหตุการณ์ไม่คาดคิดถ้าเราจะทำดียังไงแก้วก็ ต้องทันรถออกแน่ ๆ แล้วเราก็นั่งนิ่งกันในรถ เป็นไปได้ 16 นาทีจากวิภาวดีไปถึงหมอชิต ลงรถหน้าอำเภอไชยปราการ หิ้วของเห้ยทำไมมีแต่คนขนของลงจุดนี้เต็มไปหมด นั่งมาคันเดียวกันสงสัยพวกครูอาสาแน่เลย คิดในใจ อืมม ไปรอห้องสมุดก่อน สักพักรอคนมาพร้อมก็ไปรวมตัวกันที่ห้องประชุมแนะนำตัวกัน กิจกรรมร่วมกัน ทานข้าว ครูต้อม หรือครูใหญ่นี้อ่ะ บอกจะมีรถมารับขึ้นดอย พอถึงจุดหมายปลายทาง ครูต้อมบอกพวกครูอาสาขนเสบียงเข้าบ้านพักครับ แจก ไหงปลาทูเค็ม 2 ตัว ไข่เค็ม 4 ฟองมั้ง น้ำให้คนละ 2 ขวด

หัวใจคือเหตุผล

กาล…คลานหวังพบประสบพักตร์ หวัง…รู้จักทักถ้อยร้อยสหาย แบ่งปัน…น้ำจิตมิตรรักด้วยทักทาย ถึง…สิ่งหมายคือมิตรคิดจริงใจ -กลั่นกรองเป็นอักษร..ฝากคำอ้อนคล้องรักแทนพวงมาลา(ใจ)- คงไม่สามารถที่จะหาถ้อยคำใดๆมาเปรียบหรือเทียบได้กับความรู้สึกที่เกิดขึ้นในใจของเด็กผู้หญิงคนหนึ่งบนโลกใบใหญ่แห่งนี้ได้หรอกค่ะ นอกจากจะบอกว่าขอบคุณทุกๆคนที่มีจิตที่เป็นมิตร ด้วยจิตที่บริสุทธิ์จนก่อเกิดผลผลิตที่งอกงามที่ส่งต่อพร้อมส่งสื่อออกมาทางแววตา และการกระทำด้วยน้ำใจมิตรไมตรีที่มีต่อกันด้วยสิ่งที่ร่วมกระทำกันมาจึงทำ ให้รู้ว่าบนโลกใบใหญ่นี้ยังมีคนกลุ่มเล็กๆที่มีพลังใจในความเอื้ออาทร และความรักแฝงอยู่….ให้ยิ่งผูกพัน คอยห่วงหาอาทร มันไม่เคยเปลี่ยนไป ตามกาลเวลามีแต่เพิ่ม….ความรู้สึกดีๆที่ยิ่งใหญ่ที่เกิดขึ้นในวันนั้นยัง ส่งต่อมาถึงวันนี้ และวันอื่นๆอีกต่อไปโดยที่ไม่มีคำนิยามใดๆมาพรากได้ ขอบคุณจริงๆค่ะขอบคุณทุกๆ คนที่ร่วมกันสร้าง ร่วมกันลงมือ จนเกิดสิ่งที่ดีขึ้นทั้งภายนอกและภายใน(จิตใจ) ^.^-ฟางข้าว-^.^

การจากกันครั้งนี้ก็เพื่อรอเวลาที่จะได้กลับมา พบกันใหม่อีกครั้ง

เป็นความทรงจำครั้งหนึ่งที่ไม่อาจลืมเลือนเลย ค่ะ มันต่างกับการที่เราได้ดูจากโทรทัศน์ จากการอ่านในหนังสือ จากการฟังคนอื่นๆ บอกเล่าเรื่องราว มันเป็นประสบการณ์แห่งความทรงจำที่ยังอยู่ในภาพประทับใจเสมอ และตลอดไป การเป็น  “ครูอาสา”   ครั้งแรก ในช่วงระยะเวลาเพียงแค่ 4 วันที่ได้อยู่ ณ บ้านแม่ฝางหลวงนั้น มันกลับสร้างเรื่องราวดีๆ  ให้เกิดขึ้นมากมาย  เราได้มีโอกาสเข้ามาสัมผัส เรียนรู้วิถีชีวิต วัฒนธรรม ประเพณี ของชนเผ่าลาหู่   ได้เข้ามาสัมผัสกับสิ่งที่เป็นจริงอีกด้านกับการเป็นครูอาสาที่นี่ ใน ความเป็นจริงแล้วการมาครั้งนี้ของเราในความคิดภาพแรก เรายังนึกไม่ออกด้วยซ้ำ ว่าเราจะให้ความรู้พวกเค้าได้มากแค่ไหน อย่างไร แต่แค่มีใจที่อยากจะมาเท่านั้น และคิดว่าน่าจะทำให้ดีที่สุดเท่าที่เราจะสามารถทำได้ พอถึงเวลาจริงๆ นั้น เรากลับพบว่า สิ่งที่เราได้สอนให้พวกเค้าไปนั้นกลับไม่ใช่ ความรู้ วิชาการ ที่มีอยู่ในห้องเรียน แต่กลับเป็น ความสามัคคีในการทำกิจกรรมต่างๆ ระหว่างครูด้วยกัน ครูกับเด็ก และแม้แต่เด็กกับเด็กเอง และเราก็ได้พบ ว่าเราได้กลับไปพร้อมกับ มิตรภาพ ความรัก ความเอาใจใส่จากครูอาสาด้วยกันเอง ที่เราไม่เคยคาดคิดว่าจะได้จากคนที่เราไม่เคยรู้จักกันมาก่อน  เสียงหัวเราะ รอยยิ้ม ความไร้เดียงสา และความสดใสของเด็กๆ ทำให้เรารู้สึกอิ่มเอมใจทุกครั้งที่ได้มอง  การที่เราได้เป็นที่รักของเด็กๆ

วันเด็กฉัน วันเด็ก บนดอย

6 ม.ค.53 6 โมงเย็น กทม. ไม่น่าเชื่อว่ากรุงเทพฯจะเจอฝนกระหน่ำแต่ต้นปี เพิ่งผ่านพ้นปีใหม่มาไม่กี่วัน และมันยังอยู่ในช่วงฤดูหนาวมิใช่หรือ น้ำท่วมฟุตบาท เห็นสิงห์มอเตอร์ไซด์จูงรถคู่ชีพ เดินลุยน้ำกันขวักไขว่แล้วชักใจเสีย ไอ้เราก็ถอยกลับไม่ได้แล้ว และถ้ามีเหตุให้ต้องจูงรถเหมือนใครหลายคนนั้น คงไม่ต้องไปกันแล้วดงดอยที่ไหน แค่หมอชิตคงไปไม่ถึง……..โชคยังดี…. ไปเถอะไปกัน 8 ม.ค.53 วัยเด็กของเราก็ผ่านมาเนิ่นนาน แต่ความเป็นเด็กก็ฝังรากเป็นฐานพีรามิด ของการเติบโตสู่ความเป็นผู้ใหญ่ (นั่นหมายถึงต่างก็มีความเป็นเด็กอยู่ในตัวกันทั้งนั้น) กิจกรรมวันเด็ก ทั้งเด็กบนดอยและคนคอยดู เกมส์การแข่งขันผ่านไปทีละเกมส์ ๆ ถ้าหากความสนุกและอารมณ์ร่วมที่เพิ่มทวีมีมากขึ้นละก็ ไม่แปลกเลย มันเหมือนเป็นการสะท้อนกลับสู่ความต้องการของตัวเอง และถ้ามีโอกาสก็จะกระโดดเข้าไปหาโดยไม่รั้งรอ เกมชักเย่อรอบชิงฯ บ่งบอกอาการเหล่านี้ได้ชัดเจนที่สุด ณ เวลาสั้นๆแค่ช่วงนาทีนั้น การได้ออกแรงเต็มที่มันเหมือนเป็นช่วงเวลาที่เยิ่นเย่อและยาวนาน ไม่ใช่แค่เพียง สีฟ้าและสีชมพู ที่จับคู่แข่งกันในทีแรก แต่ทั้งสองฟากฝั่งเชือกต่างเพิ่มจำนวนสมาชิกเป็นแถวยาวเหยียด ที่มีทั้งเด็กผู้เข้าแข่ง ผู้ไม่มีสิทธิเข้าแข่งแต่อยาก พ่อแม่พี่น้องของเด็กผู้เข้าแข่ง กรรมการที่ความเป็นกลางไม่เหลือ พี่เลี้ยงของสีทุกสีที่ไม่ใช่แค่สองสีที่กำลังแข่งขัน เหมือนทุกคน ณ ที่นั้นต่างทยอยกระโดดเข้าหาช่องว่าง เพียงสองมือจับของเชือกทั้งสองฝั่งจนยาวเหยียด สุดปลายที่มองไม่เห็นว่าหางแถวนั้นอยู่ที่ไหน ยื้อกันสุดแรง เกิดเป็นภาพที่ให้ความหมายอีกด้านของการแข่งขัน ที่มิใช่แค่เพียงต่างมุ่งหวังเพื่อการเอาชนะ แต่เหมือนต่างต้องการจะยื้อเวลาที่มีร่วมกันนี้ให้ยาวนานออกไป Mr_Ohn

Copy Protected by Chetan's WP-Copyprotect.