มาอย่างผู้ให้ กลับไปอย่างผู้รับ (V)

รู้สึกว่าตัวเองโชคดีที่ได้เป็นส่วนหนึ่งร่วมกันเป็นครูอาสา จริงๆไม่อยากให้เรียกครูวีเท่าไร เพราะไม่ได้สอนอะไรเลยนอกจากขานเลขบิงโก ตอน แรกก็กังวลเล็กน้อยที่มากับคนไม่รู้จัก ไม่รู้จะเข้ากันหรือคุยง่ายแค่ไหน พอลงรถมาเห็นแต่ผู้แก่กล้าประสบการณ์ทั้งนั้น มองไปทางไหนก็มีแต่คนทำงาน แต่สุดท้ายท้ายสุดผมว่าตนเองโชคดีที่ได้เจอเพื่อนๆพี่ๆ(+น้าๆ) ที่คุยง่าย อัธยาศัยดี ผมคิดว่าทุกคนเป็นส่วนเติมเต็มของกันและกัน ที่ทำให้กิจกรรมครั้งนี้เกิดความ ประทับใจ ผมรู้สึกโชคดีมากที่ตัวเองเคยเป็นเด็กมาก่อน ^ ^ แต่ในวัยเด็กนั้นผมก็ผ่านเรื่องแย่ๆมาบ้าง ของขวัญเป็นสิ่งที่ผมคิดว่าผมขาดไปอย่างมาก ผมอยากได้ของขวัญปีใหม่ วันเกิด แต๊ะเอีย แต่น่าเสียดายที่ผมแทบจะไม่เคยได้รับ ทำให้คิดว่าโตขึ้นมีลูกจะแจกมันทุกปีไปเลย (แต่โตมาก็เข้าใจที่บ้านนะครับ) จนมาถึงวันหนึ่งผมคิดได้ว่าคนอื่นๆก็คงคิดเหมือนเรา ขอทานเองก็คงอยากได้ของขวัญวันคริสมาส ของขวัญปีใหม่ เด็กๆด้อยโอกาสเองก็คงอยากได้ของเล่นไม่ต่างจากผม ตั้งแต่นั้นผมก็หาโอกาสทำบุญมากขึ้นและพอเข้ามหาลัยก็คิดว่าต้องไปค่ายสร้าง หรือค่ายอะไรก็ได้ที่ทำประโยชน์ให้แก่คนอื่น ตอนปีสองผมก็เคยไปสอนหนังสือเด็ก ป 5 เทอมนึงทำให้รู้เลยว่าเป็นครูนี่มันเหนื่อยแทบขาดใจจริงๆ อยากจะกลับไปขอโทษครูทุกคนที่ผมไม่ตั้งใจในห้อง…จนวันหนึ่งก่อนปีใหม่ก็มา เจอกิจกรรมนี้จากห้องสยามก็ไม่ลังเลที่จะตกลงว่าจะไป จริงๆก่อนที่จะไปมีหลายอย่างเกิดขึ้นที่ทำให้ผมจะไม่ได้ไป แต่ใจเหมือนมีความรู้สึกว่านี่เป็นสิ่งที่เราพลาดไม่ได้ สุดท้ายก็มาถึงหมอชิตทันเวลาขึ้นรถ อยากจะบอกว่ารู้สึกแปลกใจเล็ก น้อยที่กลุ่มครูอาสามีการประชุมกันแบบนี้ คือคิดว่าหลายคนตั้งใจทำจริงๆ อยากให้เด็กๆมีความสุขจริงๆ ตัวผมเองนั้นก็อยากจะช่วยให้มากกว่านี้ แต่ไม่สามารถทำประโยชน์ได้มากเท่าไรนักทำได้แค่เพียงเสิร์ฟน้ำเท่านั้น ผมหวังจริงๆนะครับว่าจะให้กลุ่มนี้รวมตัวกันแบบนี้ต่อไปและให้โอกาสหรือจะ ปันแสง ให้น้องๆได้ตลอดไป ขอบคุณครูต้อมนะครับที่ทำให้ผมได้มีโอกาสได้ สัมผัสสิ่งที่ผมไม่เคยได้เจอมาก่อนและยังทำให้ผมได้เจอพี่ๆน้าๆที่น่ารัก ขอบคุณจริงๆครับ รู้สึกเหมือนกับประโยคหนึ่งที่เคยอ่านในเน็ตแล้วก็จำได้ ว่าเขาไม่ได้ห้ามนำมาเผยแพร่ต่อ… “มาอย่างผู้ให้กลับไปอย่างผู้รับ”

ทำไมต้อง ลาพักร้อน มาสอนเด็กดอย

อดีต ผมก็เป็นมนุษย์เงินเดือนคนหนึ่ง ที่ใช้ชีวิตในกรุงเทพฯ มาสิบกว่าปี โดยชีวิตการทำงาน ก็มีแต่งาน วันหยุด ก็พักผ่อนตามห้าง ดูหนัง ฟังเพลง ท่องอินเตอร์เน็ต และเล่นเกมส์คลายเครียด ตามประสาคนธรรมดาของมนุษย์เงินที่พอจะใช้ชีวิต พอวันหยุดที่มีแต่เดิม ๆ อยากหาอะไรทำใหม่ ๆ บ้าง เพราะรู้สึกว่าชีวิตไม่ค่อยมีชีวิตชีวา จึงได้เข้าร่วมกิจกรรมอาสากับทีมงานกระจกเงา เป็นส่วนหนึ่งของครูบ้านนอก การร่วมกิจกรรมครั้งนั้น เกิดความประทับใจ ทำให้อยากลาออกจากงานที่กรุงเทพฯ เพื่อทำตามฝัน เมื่อได้มาอยู่บนดอยกับเด็ก ๆ และชุมชนแล้ว ได้มองเห็นว่า เราเคยได้รับโอกาสให้เข้ามาสัมผัสกับวิถีชีวิตชุมชน จึงอยากเปิดโอกาสนั้น ให้กับผู้คนในเมืองใหญ่ ๆ ได้ลองมาสัมผัสดูบ้าง เลยกลายเป็นที่มาของ ครูอาสา “ลาพักร้อน มาสอนเด็กดอย” ด้วยระยะเวลาอันจำกัด ๔ วัน ๓ คืน หรือตามความสะดวก ของอาสาสมัคร เป็นการให้โอกาสกับผู้ใหญ่ใจดี ที่มีอยู่มากมาก เพียงแต่ยังหาสถานที่ หรือเป้าหมายไม่เจอ จึงได้นำกิจกรรมของทีมงานกระจกเงามาประยุกต์ โดยมุ่งหวังที่ความสุขของผู้ให้และผู้รับ โดยมีกิจกรรมครูอาสา เป็นสื่อในการเข้าถึงชุมชน

จุดเริ่มต้นของการเป็นครูดอย

 จุดเริ่มต้นของการเป็นครูดอย “ถ้าไม่ไปตอนนี้ แล้วเมื่อไหร่จะได้ทำตามฝัน” เป็นคำถามที่ถามตัวเองตลอดเวลาก่อนจะออกเดินทางตามหาฝัน เชื่อว่าทุกคนมีฝันเป็นของตัวเอง ฝันของผมอาจจะเหมือนฝันของใครหลาย ๆ คน ผมตามหาฝันของผมพบแล้ว ผมอยากแบ่งปันฝันของผมให้กับคนอื่น ๆ บ้าง ขอแนะนำตัวหน่อยครับ ชื่อต้อม ชื่อจริงนายสุวรรณ พุฒพันธ์ การศึกษา ปริญญาตรี ระบบสารสนเทศ สถาบันเทคโนโลยีราชมงคล วิทยาเขตจักรพงษภูวนารถ ดินแดง กรุงเทพฯ การทำงาน 2539 – 2547 บริษัท วีไอวี อินเตอร์เคม จำกัด (เจ้าหน้าที่คอมพิวเตอร์) กล้วยน้ำไท 2547 – 2550 บริษัท โรงพยาบาลพญาไท 2 จำกัด (Network & System Engineer) ถนนพหลโยธิน 2550-2551 อาสาสมัครโรงเรียนของหนู ครูช่วยสอน ศศช.บ้านป่าหนา ไชยปราการ เชียงใหม่ 2551-2553 เจ้าหน้าที่บันทึกข้อมูล กศน.อำเภอไชยปราการ จังหวัดเชียงใหม่ 2553-2558

Copy Protected by Chetan's WP-Copyprotect.